วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2551

Ethernet

Ethernet
ความหมายของIEEE 802.3
IEEE 802.3 หรือ อีเทอร์เน็ต (Ethernet) เป็นเครือข่ายที่มีความเร็วสูงการส่งข้อมูล 10 เมกะบิตต่อวินาที
สถานีในเครือข่ายอาจมีโทโปโลยีแบบัสหรือแบบดาว IEEE
ได้กำหนดมาตรฐานอีเทอร์เน็ตซึ่งทำงานที่ความเร็ว 10 เมกะบิตต่อวินาทีไว้หลายประเภทตามชนิดสายสัญญาณ
เช่น• 10Base5 อีเทอร์เน็ตโทโปโลยีแบบบัสซึ่งใช้สายโคแอกเชียลแบบหนา (Thick Ethernet)
ความยาวของสายในเซกเมนต์หนึ่ง ๆ ไม่เกิน 500 เมตร
• 10Base2 อีเทอร์เน็ตโทโปโลยีแบบบัสซึ่งใช้สายโคแอ๊กเชียลแบบบาง (Thin Ethernet)
ความยาวของสายในเซกเมนต์หนึ่ง ๆ ไม่เกิน 185 เมตร
• 10BaseT อีเทอร์เน็ตโทโปโลยีแบบดาวซึ่งใช้ฮับเป็นศูนย์กลาง
สถานีและฮับเชื่อมด้วยสายยูทีพี (Unshield Twisted Pair) ด้วยความยาวไม่เกิน 100 เมตรรูปที่ข้างล่าง
แสดงถึงลักษณะเครือข่ายอีเทอร์เน็ตแยกตามประเภทของสายสัญญาณ
รหัสขึ้นต้นด้วย 10 หมายถึงความเร็วสายสัญญาณ 10 เมกะบิตต่อวินาที
คำว่า “Base” หมายถึงสัญญาณชนิด “Base” รหัสถัดมาหากเป็นตัวเลข
หมายถึงความยาวสายต่อเซกเมนต์ในหน่วยหนึ่งร้อยเมตร (5=500, 2 แทนค่า 185) หากเป็นอักษร
จะหมายถึงชนิดของสาย เช่น T คือ Twisted pair หรือ F คือ Fiber optics
ส่วนมาตรฐานอีเทอร์เน็ตความเร็ว 100 เมกกะบิตต่อวินาทีที่นิยมใช้ในปัจจุบันได้แก่
100BaseTX และ 100BaseFX
สำหรับอีเทอร์เน็ตความเร็วสูงแบบกิกะบิตอีเทอร์เน็ตเริ่มแพร่หลายมากขึ้น
ตัวอย่างของมาตรฐานกิกะบิตอีเทอร์เน็ตในปัจจุบันได้แก่ 100BaseT, 100BaseLX และ 100BaseSX เป็นต้น
อีเทอร์เน็ตใช้โปรโตคอล ซีเอสเอ็มเอ/ซีดี (CSMA/CD : Carrier Sense Multiple Access with Collision Detection)
เป็นตัวกำหนดขั้นตอนให้สถานีเข้าครอบครองสายสัญญาณ ในขณะเวลาหนึ่งจะมีเพียงสถานีเดียวที่เข้าครองสายสัญญาณเพื่อส่งข้อมูล
สถานีที่ต้องการส่งข้อมูลต้องการตรวจสอบสายสัญญาณว่ามีสถานีอื่นใช้สายอยู่หรือไม่ ถ้าสายสัญญาณว่างก็ส่งข้อมูลได้ทันที
หากไม่ว่างก็ต้องคอยจนกว่าสายสัญญาณว่างจึงจะส่งข้อมูลได้ ขณะที่สถานีหนึ่ง ๆ กำลังส่งข้อมูล
ก็ต้องตรวจสอบสายสัญญาณไปพร้อมกันด้วยเพื่อตรวจว่าในจังหวะเวลาที่ใกล้เคียงกันนั้นมีสถานีอื่นซึ่งพบสายสัญญาณว่างและ
ส่งข้อมูลมาหรือไม่
หากเกิดกรณีเช่นนี้ขึ้นแล้ว ข้อมูลจากทั้งสองสถานีจะผสมกันหรือเรียกว่า การชนกัน (Collision)
และนำไปใช้ไม่ได้ สถานีจะต้องหยุดส่งและสุ่มหาเวลาเพื่อเข้าใช้สายสัญญาณใหม่ ใ
นเครือข่ายอีเทอร์เน็ตที่มีสถานีจำนวนมากมักพบว่าการทานจะล่าช้าเพราะแต่ละสถานีพยายามยึดช่องสัญญาณเพื่อส่งข้อมูลและ
เกิดการชนกันเกือบตลอดเวลา
โดยไม่สามารถกำหนดว่าสถานีใดจะได้ใช้สายสัญญาณเมื่อเวลาใด อีเทอร์เน็ตจึงไม่มีเหมาะกับการใช้งานในระบบจริง

2.10 Base 2
10 Base 2 เป็นรูปแบบต่อสายโดยใช้สาย Coaxial
มีเส้นศูนย์กลาง 1/4 นิ้ว เรียกว่า Thin Coaxial สายจะมีความยาวไม่เกิน 180 เมตร
มาตรฐาน 10 Base 2 ความหมาย 10 คือความเร็วในการส่งข้อมูล 10 Mbps Base
คือการส่งข้อมูลแบบ Baseband 2 คือความยาวสูงสุด 200 เมตร (185 – 200 เมตร )
10 Base 2 เป็นแบบเครือข่ายที่ใช้สาย Coaxial แบบบาง (Thin Coaxial) ชนิด RG-58 A/U
โดยจะมี Teminator (50 โอมห์ ) เป็นตัวปิดหัว และท้ายของเครือข่ายข้อกำหนดของ 10 Base 2
• ใช้สาย Thin Coaxial ชนิด RG-58 A/U
• หัวที่ใช้ต่อกับสายคือ หัว BNC
• ห้ามต่อหัว BNC เข้ากับ LAN Card โดยตรง ต้องต่อด้วย T-Connector เท่านั้น
• เครื่องตัวแรกและตัวสุดท้ายในเครือข่าย ต้องปิดด้วย Terminator ขนาด 50 โอมห์
• ความยาวของสายแต่ละเส้นที่ต่อระหว่าง Workstation ต้องมีความยาวไม่ต่ำกว่า 0.5 เมตร
• สายสัญญาณต่อ 1 Segment ยาวไม่เกิน 200 เมตร (185 – 200 เมตร )
• ใน 1 Segment สามารถต่อเป็นเครือข่ายได้ไม่เกิน 30 เครื่อง
• ในกรณีที่ต้องการต่อมากกว่า 30 เครื่อง ต้องมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า Repeater
เพื่อเพิ่ม Segment โดยสามารถต่อ Repeater ได้ไม่เกิน 4 Repeater ( ดังนั้น 4 Repeater = 5 Segment)
• ความยาวของสายสัญญาณทั้งหมด สูงสุด 1000 เมตร (200 เมตรต่อ 1 Segment คูณด้วย 5 Segment)
• จำนวนเครื่องสูงสุดในเครือข่าย 150 เครื่อง (30 เครื่องต่อ 1 Segment คูณด้วย 5 Segment)

3.10 Base 5
ความหมาย 10 คือความเร็วในการส่งข้อมูล 10 Mbps Base คือการส่งข้อมูลแบบ Baseband
• คือความยาวสูงสุด 500 เมตร 10 Base 5 เป็นแบบเครือข่ายที่มีลักษณะคล้ายกับ 10 Base 2
แต่จะใช้สาย Coaxial แบบหนา (Thick Coaxial หรือ Back Bone)
เป็นสายชนิด RG-8 ซึ่งสายจะเป็นสีเหลืองและมีขนาดใหญ่โดย Teminator (50 โอมห์ ) เป็นตัวปิดหัว
และท้ายของเครือข่าย เครือข่ายชนิด 10 Base 5 นี้ จะมีต่อจำนวนเครื่องได้มากกว่า
และต่อในระยะได้ไกลกว่าแบบ 10 Base 2 แต่ในปัจจุบันมักไม่นิยมใช้กัน
เนื่องจากต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูง อุปกรณ์ต่างๆ ที่ควรทราบ มีดังนี้
แผงวงจรเครือข่าย (LAN Card) คือแผงวงจรเครือข่ายที่เสียบไว้กับตัวเครื่อง และเชื่อมต่อด้วยสายเพื่อต่อเป็นเครือข่าย
โดยแผงวงจรเครือข่ายนี้จะมีหัวเสียบเป็นชนิด DIX Connector Socket ( LAN Card ) ชนิด AUI
ใช้กับมาตรฐาน 10 Base 5ข้อกำหนดของ 10 Base 5
• ใช้สาย Thick Coaxial ชนิด RG-8
• หัวที่ใช้ต่อกับสายคือหัว DIX หรือบางทีอาจจะเรียกว่า หัว AUI
• เครื่องตัวแรกและตัวสุดท้ายในเครือข่ายต้องปิดด้วย N-Series Terminator ขนาด 50 โอมห์
• ระยะห่างระหว่าง Transceiver ต้องไม่ต่ำกว่า 2.5 เมตร
• Transceiver Cable จะมีความยาวได้ไม่เกิน 50 เมตร
• ใน 1 Segment สามารถต่อเป็นเครือข่ายได้ไม่เกิน 100 เครื่อง
• สายสัญญาณต่อ 1 Segment ยาวไม่เกิน 500 เมตร
• ในกรณีที่ต้องการต่อมากกว่า 100 เครื่อง ต้องมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า Repeater
เพื่อเพิ่มSegment โดยสามารถต่อ Repeater ได้ไม่เกิน 4 Repeater (ดังนั้น 4 Repeater = 5 Segment)
• ความยาวของสายสัญญาณทั้งหมด สูงสุด 2,500 เมตร (500 เมตรต่อ 1 Segment คูณด้วย 5 Segment )
• จำนวนเครื่องสูงสุดในเครือข่าย 500 เครื่อง (100 เครื่องต่อ Segment คูณด้วย 5 Segment )


4.100 Base F
100Base-Fสาย AMP OSP (Outside Plant) ถูกออกแบบมาเฉพาะเพื่อการติดตั้งในพื้นที่ขนาดใหญ่
เพราะสามารถติดตั้งไว้บนเสาโยง หรือลอดท่อใต้ดิน เพื่อเชื่อมต่อระหว่างอาคาร สายถูกทดสอบตามมาตรฐาน TIA
ซึ่งเป็นข้อกำหนดสำหรับสายไฟเบอร์ออปกติ ทั้งยังมีคุณสมบัติเกินมาตรฐานไปอีกขั้น
จึงรองรับได้ทั้ง 100Base-F, 155/622 Mbps ATM และกิกะบิตอีเธอร์เน็ต

5.100BASE-FX
100BASE-FX Multimode LC SFP Transceiver
(P/N: DEM-211) มอบประสิทธิภาพการทำงานระดับสูงให้กับแอพพลิเคชันการสื่อสารข้อมูลแบบซีเรียลออพติคัลดาต้า
นอกจากนั้นยังประกอบด้วยตัวเชื่อมต่อที่มีการทำงานแบบดูเพล็กซ์ LC
รวมถึงยังสามารถใช้งานร่วมกับมาตรฐานการสื่อสารแบบ IEEE 802.3u
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพขึ้นเป็น 100 เมกะบิตต่อวินาที ในโหมดฮาฟดูเพล็กซ์สำหรับแอพพลิเคชันเคเบิลไฟเบอร์
ทั้งนี้การอินทริเกรทตัวรับส่งคุณภาพสูงของดีลิงค์นั้นก็เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น
ปราศจากอาการกระตุกของสัญญาณ และเพื่อให้การเชื่อมต่อแบบออพติคัลสามารถขยายออกไปได้มากยิ่ง
ขึ้นโดยไม่มีการลดประสิทธิภาพลง อุปกรณ์นี้จึงช่วยให้การถ่ายโอนข้อมูลในระยะสั้น ระยะกลาง
และระยะทางที่ไกลๆ ทั้งในส่วนของการใช้งานภายในอาคาร โรงงาน แคมปัสและในตัวเมืองมีเสถียรภาพยิ่งขึ้น
และเมื่อสวิตช์ 2 ตัวมีการเชื่อมต่อกันแล้วโดยใช้ตัวรับส่ง DEM-211 ทั้ง 2 ทาง
ผู้ใช้งานจะได้รับอัตราเร็วของการเชื่อมต่อที่ระดับ 155 เมกะบิตต่อวินาที
ยิ่งไปกว่านั้นยังได้มอบการเชื่อมต่อแบบไฟเบอร์ออพติค 100BASE-FX SFP
บนพอร์ต Gigabit combo SFP ให้กับสวิตช์ของดีลิงค์อีกด้วย

ข้อสอบเรื่องตาราง Mark Bit

ออกข้อสอบ ปรนัย (พร้อมเฉลย) 10ข้อ
1. ถ้า subnet =2 ในclass a จะมี mask กี่ bit
ก. 4 bit
ข. 3 bit
ค. 2 bit
ง. 6 bit
ตอบ ค.2 bit

2. ถ้า mask 7 bit class b มี host?
ก. 131070 host
ข. 131072 host
ค. 131073 host
ง. 1301047 host

ตอบ ก.131070 host
3. mask 6 bit class c หมายเลข subnet mask?
ก. 255.255.255.255
ข. 255.255.255.252
ค. 255.192.0.0
ง. 225.252.225.252

ตอบ ข.255.255.255.252
4. 255.254..0.0 class b host?
ก. 131073
ข. 131075
ค. 131070
ง. 131071

ตอบ ค.131070
5. subnet mask 255.192.0.0 อยู่ใน class?
ก. classb
ข. class c
ค. class a
ง. class a class c

ตอบ ค. class a
6. mask 2 bit class a เลขฐาน 16 คือ
ก.11111111.11000000.00000000.00000000
ข.1111111.11111111.00000000.00000000
ค.11111111.00000000.00000000.00000000
ง. 11111111 .11111111.11111111.11111111

ตอบ ก.11111111.11000000.00000000.00000000
7. mask 2 bit ของclass a ได้กี่subnet
ก. 2^2=4-2=2
ข. 2^9=512-2=510
ค. 2^17=131072-2=131070
ง. 2^10=131270-2=13127

ตอบ ก. 2^2=4-2=2
8. mask 6bit class b หมายเลข host?
ก . 2^9=512-2=510
ข . 2^18=262144-2=262142
ค . 2^17=131072-2=131070
ง. 2^18=131072-2=131070

ตอบ ข . 2^18=262144-2=262142
9. mask 7bit ของ class b มีหมายเลข subnet mask คืออะไร
ก.255.255.255.255
ข. 255.254.0.0
ค. 255.255.0.0
ง . 255.255.250.0
ตอบ ข. 255.254.0.0
10. mask 2bit class c หมายเลข subnet ?
ก. 2^2 =4-2=2
ข . 2^18=262144-2=262140
ค . 2^18=262144-2=262142
ง. 2^18=26144-2=262144
ตอบ ก. 2^2 =4-2=2

************************************************************


ข้อสอบอัตนัย พร้อมเฉลย 10ข้อ

2.1 Mark 2 bit ได้ Class A ได้กี่ subnet
--------------------------------------------------?

= 2^2 = 4-2 = 2 subnet

2.2 Mark 4 bit ได้ Class A ได้กี่ subnet
------------------------------------------------------?

= 2^4 = 16-2 = 14 subnet

2.3 Mark 5 bit ได้ Class A ได้กี่ subnet
-----------------------------------------------------?

= 2^5 = 32-2 = 30 subnet

2.4 Mark 6 bit ได้ Class A ได้กี่ subnet
------------------------------------------------------?

= 2^6 = 64-2 = 62 subnet

2.5 Mark 7 bit ได้ Class A ได้กี่ subnet
-------------------------------------------------------?

= 2^7 = 128-2 = 126 subnet

2.6 Mark 8 bit ได้ Class A ได้กี่ subnet
----------------------------------------------------?

= 2^8 = 256-2 = 254 subnet

2.7 Mark 9 bit ได้ Class A ได้กี่ subnet
------------------------------------------------------?

= 2^9 = 512-2 = 510 subnet

2.8 Mark 10 bit ได้ Class A ได้กี่ subnet
--------------------------------------------------------?

= 2^10 = 1,024-2 = 1022 subnet

2.9 Mark 11 bit ได้ Class A ได้กี่ subnet
-------------------------------------------------------?

= 2^11 = 2,048-2 = 2046 subnet

2.10 Mark 12 bit ได้ Class A ได้กี่ subnet
-----------------------------------------------------?

= 2^12 = 4,096-2 = 4094 subnet

******************************************************************

วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2551

การบ้านเรียนวันที่11มิถุนายน

.สรุป basic’s datacommunication

การสื่อสารข้อมูล (Data Communications) หมายถึง กระบวนการถ่ายโอนหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างผู้ส่งและผู้รับ

โดยผ่านช่องทางสื่อสาร เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือคอมพิวเตอร์เป็นตัวกลางในการส่งข้อมูล

พื่อให้ผู้ส่งและผู้รับเกิดความเข้าใจซึ่งกันและกันส่วนประกอบพื้นฐานของการสื่อสารข้อมูล

1. ตัวส่งข้อมูล

2. ช่องทางการส่งสัญญาณ

3. ตัวรับข้อมูล

4. การสื่อสารข้อมูลในระดับเครือข่าย

มาตรฐานกลางที่ใช้ในการส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่าย

คือ มาตรฐาน OSI (Open Systems Interconnection Model)

ซึ่งทำให้ทั้งคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เชื่อมต่อต่างๆ สามารถเชื่อมโยงและใช้งานในเครือข่าย

จุดมุ่งหมายของการกำหนดมาตรฐาน OSI นี้ขึ้นมาก็เพื่อจัดแบ่งการดำเนินงานพื้นฐานของเครือข่ายและกำหนดหน้าที่การทำงานในแต่ละชั้น

1.Application Layer = มีหน้าที่ติดต่อระหว่างผู้ใช้โดยตรง

2.Presentation Layer = มีหน้าที่คอยรวบรวมข้อความ และแปลงรหัสหรือแปลงรูปแบบของข้อมูลให้เป็นรูปแบบการสื่อสารเดียวกัน

3.Session Layer = มีหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างผู้ใช้งานกับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ โดยจะกำหนดจุดผู้รับและผู้ส่ง

4.Transport Layer = มีหน้าที่ตรวจสอบและป้องกันขอ้มูลให้ข้อมูลที่ส่งมานั้นไปถึงปลายทางจริงๆ

5.Network Layer = มีหน้าที่กำหนดเส้นทางการเดินทางของข้อมูลที่ส่ง-รับในการส่งข้อมูลระหว่างต้นทางและปลายทาง

6.DataLink Layer = มีหน้าที่เหมือนผู้ตรวจสอบ คอยควบคุมความผิดำพลาดในข้อมูล

7. Physical Layer = มีหน้าที่รับ-ส่งข้อมูลจากช่องทางการสื่อสารสื่อระหว่างคอมพิวเตอร์

รูปแบบของการส่งสัญญาข้อมูล

1. แบบทิศทางเดียวหรือซิมเพล็กซ์ (One-way หรือ Simplex

2. แบบกิ่งทางคู่หรือครึ่งดูเพล็กซ์ (Half-Duplex)

3. แบบทางคู่หรือดูเพล็กซ์เต็ม (Full - Duplex )แบบมีสายเช่น สายโทรศัพท์

เคเบิลใยแก้วนำแสงสายโคแอคเชียล (Coaxial)สายแบบนี้จะประกอบด้วยตัวนำที่ใช้ในการส่งข้อมูลเส้นหนึ่งอยู่ตรงกลางอีกเส้นหนึ่งเป็นสายดินใยแก้วนำแสง (Optic Fiber)ทำจากแก้วหรือพลาสติกมีลักษณะเป็นเส้นบางๆ คล้าย เส้นใยแก้วจะทำตัวเป็นสื่อในการส่งแสงเลเซอร์ที่มีความเร็วในการส่งสัญญาณเท่ากับความเร็วของแสงข้อดีของใยแก้วนำแสดงคือ

1. ป้องกันการรบกวนจากสัญญาณไฟฟ้าได้มาก

2. ส่งข้อมูลได้ระยะไกลโดยไม่ต้องมีตัวขยายสัญญาณ

3. การดักสัญญาณทำได้ยาก ข้อมูลจึงมีความปลอดภัยมากกว่าสายส่งแบบอื่น

4. ส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูงและสามารถส่งได้มาก ขนาดของสายเล็กและน้ำหนักเบาแบบไม่มีสายเช่น ไม่โครเวฟ และดาวเทียมไมโครเวฟ (Microwave) สัญญาณไม่โครเวฟเป็นคลื่นวิทยุเดินทางเป็นเส้นตรง อุปกรณ์ที่ใช้ในการรับ-ส่งคือจานสัญญาณไม่โครเวฟ ซึ่งมักจะต้องติดตั้งในที่สูงและมักจะให้อยู่ห่างกันประมาณ 25-30 ไมล์

ข้อดี ของการส่งสัญญาณด้วยระบบไมโครเวฟ ก็คือ

สามารถส่งสัญญาณด้วยความถื่กว้างและการรบกวนจากภายนอกจะน้อยมากจนสัญญาณไม่ดี หรืออาจส่งสัญญาณไม่ได้

การส่งสัญญาณโดยใช้ระบบไมโครเวฟนี้จะใช้ในกรณ๊ที่ไม่สามารถจะติดตั้งสายเคเบิลได้ เช่น

อยู่ในเขตป่าเขาดาวเทียม (Setellite)มีลักษณะการส่งสัญญา คล้ายไมโครเวฟ แต่ต่างกันตรงที่

ดาวเทียมจะมีสถานีรับส่งสัญญาณลอยอยู่ในอวกาศจึงไม่มีปัญหาเรื่องส่วนโค้งของผิวโลกก่อนส่งกลับมายังพื้นโลก

ข้อดี ของการสื่อสารผ่านดาวเทียมคือ ส่งข้อมูลได้มาก และมีความผิดพลาดน้อยส่วนข้อเสีย คือ อาจจะมีความล่าช้า

เพราะระยะทางระหว่างโลกกับดาวเทียม หรือถ้าสภาพอากาศไม่ดีก็อาจจะก่อให้เกิดความผิดพลาดได้

***************************************************************



.Basic’s IP AddressIP Address

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ IP Address ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทุกคนต้องเกี่ยวข้องกับไอพีแอดเดรส อย่างน้อย

พีซีที่ต่ออยู่กับอินเทอร์เน็ตต้องมีการกำหนดไอพีแอดเดรส คำว่าไอพีแอดเดรส

จึงหมายถึงเลขหรือรหัสที่บ่งบอก ตำแหน่งของเครื่องที่ต่ออยู่บน อินเทอร์เน็ต ตัวเลขรหัสไอพีแอดเดรสจึงเสมือนเป็นรหัสประจำตัวของเครื่องที่ใช้

ตั้งแต่พีซี ของผู้ใช้จนถึงเซิร์ฟเวอร์ให้บริการอยู่ทั่วโลก ทุกเครื่องต้องมีรหัสไอพีแอดเดรสและต้องไม่ซ้ำกันเลยทั่วโลก

ไอพีแอดเดรสที่ใช้กันอยู่นี้เป็น ตัวเลขไบนารีขนาด 32 บิตหรือ 4 ไบต์

11101001

11000110

00000010

01110100

แต่เมื่อต้องการเรียกไอพีแอดเดรสจะเรียกแบบไบนารีคงไม่สะดวก

จึงแปลงเลขไบนารี หรือเลขฐานสองแต่ละไบต์ ( 8 บิต ) ให้เป็นตัวเลขฐานสิบโดยมีจุดคั่น

11001011

10010111

00101110

00010011

203 .

151 .

46 .

19

เมื่อตัวเลขไอพีแอดเดรสจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับกำหนดให้กับเครื่อง และอินเทอร์เน็ตเติบโตรวดเร็วมาก เป็นผลทำให้ไอพีแอดเดรสเริ่มหายากขึ้น

การกำหนดไอพีแอดเดรสเน้นให้องค์กรจดทะเบียนเพื่อขอไอพีแอดเดรสและมีการแบ่งไอพีแอดเดรส ออกเป็นกลุ่มสำหรับองค์กร

เรียกว่า คลาส โดยแบ่งเป็น คลาส A คลาส B คลาส C

คลาส A กำหนดตัวเลขในฟิลด์แรกเพียงฟิลด์เดียว ที่เหลืออีกสามฟิลด์ให้องค์กรเป็นผู้กำหนด

ดังนั้นจึงมีไอพีแอดเดรสในองค์กรเท่ากับ 256 x 256 x 256

คลาส B กำหนดตัวเลขให้ สองฟิลด์ ที่เหลืออีกสองฟิลด์ให้องค์กรเป็นผู้กำหนดดังนั้นองค์กรจึงมีไอพีแอดเดรส

ที่กำหนดได้ถึง 256 x 256 = 65536 แอดเดรส

คลาส C กำหนดตัวเลขให้สามฟิลด์ที่เหลือให้องค์กรกำหนดได้เพียงฟิลด์เดียว คือมีไอพีแอดเดรส 256เมื่อพิจารณาตัวเลขไอพีแอดเดรส

หากไอพีแอดเดรสใดมีตัวเลขขึ้นต้น 1-126 ก็จะเป็นคลาส A

ดังนั้นคลาส A จึงมีได้เพียง 126 องค์กรเท่านั้น หากขึ้นต้นด้วย 128-191 ก็จะเป็นคลาส B

เช่น ไอพีแอดเดรสของกรมราชทัณฑ์ขึ้นต้นด้วย 158 จึงอยู่ในคลาส B และหากขึ้นต้นด้วย 192-223 ก็เป็นคลาส C

ลักษณะการใช้ไอพีแอดเดรสในองค์กรจึงมีวิธีการจัดสรรและกำหนดเพื่อให้ใช้งาน แต่เนื่องจากหลายหน่วยงานติดขัดด้วยจำนวนหมายเลขที่ได้รับ

เช่นองค์กรขนาดใหญ่ แต่ได้รับคลาส C จึงย่อมสร้างความยุ่งยากในการสร้างเครือข่าย

สำหรับกรมราชทัณฑ์ที่มีไอพีคลาสซี จึงได้แบ่งและจัดสรรไอพีแอดเดรสให้กับหน่วยงานต่างๆได้อย่างพอเพียงไอพีแอดเดรสแต่ละกลุ่มที่ได้รับการจัดสรร

จะได้รับการควบคุทำนองเดียวกัน หน่วยงานย่อยรับแอดเดรสไปเป็นกลุ่มก็สามารถนำไอพีแอดเดรส

ที่ได้รับไปจัดสรรแบ่งกลุ่มด้วยอุปกรณ์เราเตอร์หรือ สวิตชิ่งได้ การกำหนดแอดเดรสจะต้องอยู่ภายในกลุ่มของตนเท่านั้น

มิฉะนั้นอุปกรณ์เราเตอร์จะไม่ สามารถทำงานรับส่งข้อมูลได้

มการกำหนดเส้นทางโดยอุปกรณ์จำพวก เราเตอร์ และสวิตชิ่ง

ไอพีแอดเดรสจึงเป็นรหัสหลักที่จำเป็นในการสร้างเครือข่าย เครือข่ายทุกเครือข่ายจะต้องมีการกำหนดแอดเดรส

สำนักบริการคอมพิวเตอร์ได้จัดสรรกลุ่มไอพีไว้ให้หน่วยงานต่างๆอย่างพอเพียงโดยที่แอดเดรสทุกแอดเดรสที่ใช้ใน กลุ่ม

เช่น การเซตให้กับพีซีแต่ละเครื่องต้องไม่ซ้ำกัน รหัสไอพีแอดเดรสจึงเป็นโครงสร้างพื้นฐานอย่างหนึ่งที่มีค่าสำหรับองค์กร

หากองค์กร เรามีไอพีแอดเดรสไม่พอ หรือขาดแคลนไอพีแอดเดรสจะทำอย่างไร เช่นมหาวิทยาลัย ก. เป็นมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่แต่ได้คลาส C ซึ่งมีเพียง 256 แอดเดรสแต่มีผู้ที่จะใช้ไอพีแอดเดรสเป็นจำนวนมากสิ่งที่จะต้องทำคือ มหาวิทยาลัย ก. ยอมให้ภายนอกมองเห็นไอพีแอดเดรสจริงตามคลาส C

นั้น ส่วนภายในมีการกำหนดไอพีแอดเดรสเอง

โดยที่ไอพีแอดเดรสที่กำหนดจะต้องไม่ปล่อยออกภายนอก เพราะจะซ้ำผู้อื่นผู้ดูแลเครือข่ายต้องตั้งเซิร์ฟเวอร์หนึ่งเครื่อง

เป็นตัวแปลงระหว่างแอดเดรสท้องถิ่น กับแอดเดรสจริงที่จะติดต่อภายนอก วิธีการนี้เรียกว่า

NAT = Network Address Translatorซึ่งแน่นอนก็ต้องสร้างความยุ่งยากเพิ่มเติม

และทุกแพกเก็ต IP จะมีการแปลงแอดเดรสทุกครั้ง ทั้งขาเข้าและขาออก จึงทำให้ประสิทธิภาพการติดต่อย่อมลดลง

ซึ่งแตกต่างกับการใช้ไอพีแอดเดรสจริง

รูปแบบของไอพีแอดเดรส

- มีขนาด 32 บิต

- ประกอบด้วยเลข 2 ส่วน

- เลขเครือข่าย (network number)

- เลขโฮสต์ (host number)

- รูปแบบการเขียน “dotted decimal”

- แบ่งเป็น 4 ไบต์

- คั่นแต่ละไบต์ด้วยจุด (dot)ความสำคัญของเลขเครือข่ายและโฮสต์

- เราเตอร์ (Router)

- ใช้เลขเครือข่ายเลือกเส้นทางส่ง packet

- โฮสต์ที่มี netid ชุดเดียวกัน

- จะอยู่เครือข่ายเดียวกัน

- สื่อสารกันได้โดยใช้เฟรม data-link

- ไม่ต้องใช้เราเตอร์

- โฮสต์ที่มี netid ต่างกัน

- จะอยู่ต่างเครือข่าย

- เราเตอร์จะส่ง packet ข้ามเครือข่าย

การจัดคลาสเครือข่าย

Class A 0 network host host host

Class B 10 network network host host

Class C 110 network network network host

Class A = 0 – 126

Class B = 128 – 191

Class C = 192 -223

Class D = 224 – 239 Class

E = 240 – 255127 เป็น IP แบบพิเศษ

การหาจำนวน netid และ hostid

- ใช้สูตร 2n- n = จำนวนบิต

- network และ host ที่สงวนไว้- network ที่มีบิตเป็น “0” และ “1” ทั้งหม

- host ที่มีบิตเป็น “0” และ “1” ทั้งหมดClass A

จำนวน network = 7 บิต

- จำนวนเครือข่ายทั้งหมด = 27 = 128 เครือข่าย

- จำนวนเครือข่ายที่ใช้งานได้ = 27-2 = 128 – 2

= 126 เครือข่าย

- จำนวนโฮสต์ในแต่ละเครือข่าย= 24 บิต

- จำนวนโฮสต์ทั้งหมด = 224 = 16,777,216 โฮสต์

- จำนวนโฮสต์ที่ใช้งานได้ = 224-2 = 16,777,216 – 2

= 16,777,214 โฮสต์

Class B

- จำนวน network = 14 บิต

- จำนวนเครือข่ายทั้งหมด = 214 = 16,384 เครือข่าย

- จำนวนเครือข่ายที่ใช้งานได้ = 214-2 = 16,384 – 2

= 16,382 เครือข่าย

- จำนวนโฮสต์ในแต่ละเครือข่าย= 16 บิต

- จำนวนโฮสต์ทั้งหมด = 216 = 65,536 โฮสต์

- จำนวนโฮสต์ที่ใช้งานได้ = 224-2 = 65,536 – 2

= 65,534 โฮสต์

Class C

- จำนวน network = 21 บิต

- จำนวนเครือข่ายทั้งหมด = 221 = 2,097,152 เครือข่าย

- จำนวนเครือข่ายที่ใช้งานได้ = 221-2 = 2,097,152 – 2

= 2,097,150 เครือข่าย

- จำนวนโฮสต์ในแต่ละเครือข่าย= 8 บิต- จำนวนโฮสต์ทั้งหมด = 28 = 256 โฮสต์

- จำนวนโฮสต์ที่ใช้งานได้ = 28-2 = 256 – 2

= 254 โฮสต์

Default subnet mask

Class Netmask Binary netmask ขนาด

A 255.0.0.0 11111111.00000000.00000000.00000000 8 บิต

B 255.255.0.0 11111111.11111111.00000000.00000000 16 บิต

C 255.255.255.0 11111111.11111111.11111111.00000000 24 บิต

ตัวอย่าง

- IP address 64.7.1.50 จะมี default netmask 255.0.0.0

- IP address 158.200.100.45 จะมี default netmask 255.255.0.0

- IP address 192.168.1.1 จะมี default netmask 255.255.255.0

ประเภทของ Subnet Mask

- Fixed Length Subnet Mask

- ใช้ค่า subnet mask เดียวกันตลอดทั้งเครือข่าย

- แต่ละ subnet จะมีจำนวนโฮสต์เท่าๆ กัน

- Variable Length Subnet Mask

- ใช้ค่า subnet mask ต่างกันในแต่เครือข่าย

- แต่ละ subnet จะมีจำนวนโฮสต์ไม่เท่ากันการแบ่งเครือข่ายย่อย (subnet mask)

- เป็นเลขขนาด 32 บิต

- บิตที่ตรงเลขเครือข่าย (netid) มีค่าเท่ากับ “1”

- บิตที่ตรงเลขโฮสต์ (hostid) มีค่าเท่ากับ “0”การเลือกเส้นทางใน subnet mask

- ตรวจสอบว่าเป็น IP ที่อยู่ในเครือข่ายเดียวกันหรือไม่

- ใช้เทคนิคการ “AND” บิต ระหว่าง IP กับ subnet mask

- ถ้า subnet address มีค่าเท่ากัน

- อยู่ในเครือข่ายเดียวกัน

- ส่ง packet โดยใช้ ethernet adddress

- ถ้า subnet address มีค่าต่างกัน

- อยู่ต่างเครือข่าย

- ส่ง packet ไปให้ router เพื่อส่งข้อมูลต่อไป
**********************************************************



แปลง IP
-209.123.226.168
=11010001.01110001.11100001.10101000


-198.60.70.81
=11000110.00111000.01000110.01010001

*******************************************************



CIDR
-บอกหมายเลข Subnet Mask
-บอกจำนวน Host
CIDR ที่ให้คือ
/22
11111111.11111111.11111100.00000000
= (255+255+252+0)
Subnet Mask = (255.255.252.0)
Host 2^10 = 1024 – 2 = 1022


*******************************************************

/18
11111111.11111111.11000000.00000000
= (255+255+192+0)
Subnet Mask =( 255.255.192.0)
Host = 2^14 = 16384 – 2 = 16382


*******************************************************

/27
11111111.11111111.11111111.11100000
= (255.255.255.224)
Subnet Mask = (255.255.255.224)
Host = 2^5 = 32- 2 = 30
*********************************************************

ออกข้อสอบเรื่อง IP 5ข้อ
1.ไอพีแอดเดรสที่ใช้กันส่วนใหญ่มีกี่บิต
ก.ขนาด 32 บิตหรือ 4 ไบต์
ข.ขนาด 4บิต
ค.8บิต
ง.16บิต
2.รูปแบบของไอพีแอดเดรส
ก.มีขนาดช่องทางที่ใหญ่
ข. มีขนาด 32 บิต, ประกอบด้วยเลข 2 ส่วน
ค. มีตำเลขจำนวนมาก
ง.มี16บิต
3.ข้อใดคือเส้นทางใน subnet mask
ก.ส่ง packet โดยใช้ ethernet address
ข. อยู่ในเครือข่ายเดียวกันค.ถ้า subnet address มีค่าเท่ากัน
ง.ไม่มีข้อถูก
4.ข้อใดเป็นการแบ่งเครือข่ายย่อย (subnet mask๗
ก. เป็นเลขขนาด 32 บิต
ข.บิตที่ตรงเลขเครือข่าย (netid) มีค่าเท่ากับ “1”

ค. บิตที่ตรงเลขโฮสต์ (hostid) มีค่าเท่ากับ “0”
ง.ถูกทุกข้อ

5.ข้อใดคือความสำคัญของเลขเครือข่ายและโฮสต์
ก. สื่อสารกันได้โดยใช้เฟรม data-link
ข.รวดเร็ว
ค.มีช่องทางกว้าง
ง.มีจำนวนบิตมาก
เฉลย 1.ก 2.ข 3.ง 4.ง 5.ก

***************************************************** ******

ออกข้อสอบเรื่อง CIDR 5 ข้อ
1.ข้อใดคือส่วนประกอบพื้นฐานของการสื่อสารข้อมูล
ก. ตัวส่งข้อมูล
ข. ช่องทางการส่งสัญญาณ
ค. ตัวรับข้อมูล
ง.ถูกทุกข้อ
2.มาตรฐานกลางที่ใช้ในการส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่าย คือข้อใด
ก. มาตรฐาน OSI (Open Systems Interconnection Model)

ซึ่งทำให้ทั้งคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เชื่อมต่อต่างๆ สามารถเชื่อมโยงและใช้งานใน
ข.ข้อมูลต่างๆ
ค.คอมพิวเตอร์
ง.ไม่มีข้อถูก
3.รูปแบบของการส่งสัญญาข้อมูลมีกี่รูปแบบ
ก.2.รูปแบบ
ข.3.รูปแบบ
ค4.รูปแบบ
ง.5.รูปแบบ
4.ข้อดีของใยแก้วนำแสดงคือข้อใด

ก. ป้องกันการรบกวนจากสัญญาณไฟฟ้าได้มาก
ข. ส่งข้อมูลได้ระยะไกลโดยไม่ต้องมีตัวขยายสัญญาณ8
ค. การดักสัญญาณทำได้ยาก ข้อมูลจึงมีความปลอดภัยมากกว่าสายส่งแบบอื่น
ง.ถูกทุกข้อ
5.ข้อดี ของการสื่อสารผ่านดาวเทียมคือ

ก.ส่งข้อมูลได้มาก และมีความผิดพลาดน้อย
ข. อาจจะมีความล่าช้าเพราะระยะทางระหว่างโลกกับดาวเทียม
ค.ถ้าสภาพอากาศไม่ดีก็อาจจะก่อให้เกิดความผิดพลาดได้
ง.ไม่มีข้อถูก
เฉลย 1 ง. 2 ก. 3 ข. 4 ก. 5 ก.
***************************************************************

วันอังคารที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2551

เรียนวันที่11 มิถุนายน

เรียนวันที่11มิถุนายน
/20??
11111111.11111111.11110000.00000000
/20(255+255+240+0)
Subnet Mask (255.255.240.0)
Host 2^12 = 4096-2

แปลง IT เป็น Binary

แปลง IT เป็น Binary
32bit
202.29.57.2
11001010.00011101.00111001.00000010
คลาส c

รายชื่อเพื่อน

From:kimsath sath (kimsathsath@yahoo.com)http://kimsath.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:Gus m (guszaa_m@hotmail.com)http://guszaa.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:นายจำนงค์ ศรีมาศ (srimas2007@hotmail.com)http://jumnong.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:ชยาพงษ์ วังตะเคน (mo.04@hotmail.com)http://thekop-momo.blogspot.com^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:sulak Phonboon (sulak_laky@hotmail.com)http://sulak-noy.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:khamsan khampang (khampang3@hotmail.com)http://khampang.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:ชาตรี แก้วมณี (chatree_05@thaimail.com)http://chatree-ton.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:มยุลี เสมศรี (mayulee8787@hotmail.com)http://mayulee8787.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:นางสาว จันทร์ กฤษวี (janjun1@hotmail.com)http://janjun.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:นางสาวประภาศิริ สุทธิหนู(nemo_yung@hotmail.com)http://lylulnlgl.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:sam an leakmuny (leakmuny@yahoo.com)http://leakmuny-sam.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:ณัชพร ไชยมูล (clash_oud@hotmail.com)http://khukhan-bantim.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:วาฤดี สัมนา (waruedee_49@hotmail.com)http://waruedee.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:warawood wisetmuen (nicnicnic_02@hotmail.com)http://warawood.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:r y (overnarn@hotmail.com)http://tcomtoo.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:สุพรรษา ท่วาที (supansa_56@hotmail.com)http://puy-supansa.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:อรอุมา พละศักดิ์ (tep_ratree@hotmail.com)http://tepratree.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:สายรุ่ง พงษ์วัน (sayrung_@hotmail.com)http://koraikoo.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:ศิริกัญญา ศิริญาณ (tumkatong@gmail.com)http://tumkatong.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:พรพรรณ สังขาว (aaa.37@hotmail.com)http://oake-pornpan.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:นายเทิดศักดิ์ บุญรินทร์ (ton_therdsak783@hotmail.com)http://tonstaff.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:นิพนธ์ ทรัพย์ประเสริฐ (nipoon_karn@hotmail.com)http://karnline.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:ทัสนีย์ ประสาร (tatsanee_1234@thaimail.com)http://ningza-tatsanee.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:wasan dujda (nong2445572@hotmail.com)http://newcastle-wasan.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:นิพนธ์ ทรัพย์ประเสริฐ์ (kan-49@hotmail.com)http://teerapon123.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:sophang sophaly (phangsophaly@hotmail.com)http://sophaly-phang.blogspot.com/

ข้อสอบ OSI Model

1. OSI Model หมายถึงอะไร
ก. เป็นมาตรฐานที่ใช้อ้างอิงถึงวิธีการในการส่งข้อมูลจาก Computer เครื่องหนึ่งผ่านNetwork ไปยัง Computer อีกเครื่องหนึ่ง
ข.การส่งข้อมูลของคอมพิวเตอร์
ค.การทำงานของคอมพิวเตอร์
ง.เป็นมาตรฐานการส่งข้อมูล
http://support.mof.go.th/lan/osi.htm
2. OSI เป็น modelประกอบด้วย Layer ต่างๆ กี่ชั้น
ก.4ชั้น
ข.5ชั้น
ค.6ชั้น
ง.7ชั้น
3.ชั้น Session ทำหน้าที่อะไร
ก.สร้างการเชื่อมต่อ, การจัดการระหว่างการเชื่อมต่อ
ข.จัดเก็บข้อมูล
ค.ส่งข้อมูล
ง. เรียบเรียงข้อมูล
4.เซสชัน (Session) นั้นหมายถึงอะไร
ก.การส่งข้อมูล
ข..การเชื่อมต่อกันในเชิงตรรกะ
ค. การเชื่อมต่อ
ง.การเสร็จสิ้นของข้อมูล
5.. ชั้น Datalink เป็นชั้นที่อธิบายถึง
ก.การส่งข้อมูลไปบนสื่อกลาง
ข.การส่งข้อมูลทางการ
ค.การส่งข้อมูลทางอ้อม
ง.การเชื่อมต่อ
http://www.udonoa.com/www-tam/Knowledge/OSImodel.html

เฉลย1.ก
2.ง
3.ก
4.ข
5.ก

วันอังคารที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ข้อสอบรหัสแอสกี้

1.ตัว S เขียนเป็นรหัสแอสกี้ได้อย่างไร
ก.01010011 ข.10100011
ค.11000011 ง.01110001
2.รหัสแอสกี้คืออะไร
ก.มาตรฐานที่มีการกำหนดขึ้น
ข.มาตรฐานกำหนดรหัสแทนข้อมูลให้เป็นมาตรฐานสากล
ค.ข้อมูลของตัวเลข
ง.มาตรฐานข้อมูล
3.01010100ใช้แทนตัวอักษรตัวใด
ก.T ข.H
ค.O ง.P
เฉลย ข้อ1.ก
ข้อ2.ข
ข้อ3 ก

แนะนำตัวเอง

ชื่อ นางสาว สุพรรษา ท่วงที
โปรแกรมวิชา วิทยาการคอมพิวเตอร์ ปีที่3
เบอร์โทรศัพท์ 087-4903799
SUPANSA
53 55 50 41 4E 53 41
01010011,01010101,01010000,01000001,01001110,01010011,01000001
THUANGTEE
54 48 55 41 4E 47 54 45 45
01010100,01001000,01010101,01000001,01001110,01000111,01010100,01000101,01000101
0874903799
91 99 98 95 9A 91 94 98 9A 9A
10010001,10011001,10011000,10010101,10011010,10010001,10010100,10010100,10011010,10011010